วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554

เรื่องที่ ๙ : คาถา : ไสยเวทย์หรือ หลักปฏิบัติเพื่อความดีงาม?


นายหมึกหน้าตาเศร้าหมอง ดูแล้วไม่มีราศีเอาเสียเลย เหมือนคนไร้จิตวิญญาณ เดินเข้าไปหาหลวงตาเท่ง ก้มลงกราบแล้วพูดด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า “หลวงตามีคาถาดีๆ ไหม” หลวงตาเท่งถามว่า “คาถาอะไรวะไอ้หมึก” นายหมึกตอบหลวงตาทันทีว่า “คาถาจีบสาวหรือทำให้สาวหลงนะ มีไหมหลวงตา” หลวงตาเท่งตอบว่า “มี แต่เป็นคาถาของพระพุทธเจ้านะ เอ็งจะเอาไหม” นายหมึกรีบตอบทันควันว่า “เอาซิหลวงตา ถ้าไม่เอาจะมาหาหลวงตาทำไม” (ดูมันใช้คำพูดกับพระซิ ยังกับเป็นเพื่อนเล่นของมันน่ะ)

    ขอยุติเรื่องตรงนี้ไว้ก่อนนะครับ เพื่อเข้ามาสู่ประเด็นเรื่องคาถาตามความเข้าใจของนายหมึกกับคำพูดของหลวงตาเท่ง คาถาในความคิดของนายหมึกคือเวทมนตร์ที่นำไปท่องหรือร่ายเพื่อให้เกิดสิ่งที่ตนต้องการ ในเรื่องก็คือเวทมนตร์ที่ทำให้สาวรัก แต่คาถาในความหมายของหลวงตาเท่งนั้น หมายถึง บทประพันธ์ประเภทร้อยกรองที่เรียกตามภาษาพระว่า “ฉันทลักษณ์” ซึ่งประกอบด้วย ๔ บาท ตามข้อบังคับของฉันท์ต่างๆ ตัวอย่างเช่น

    อเสวนา จ พาลานํ      ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา
    ปูชา จ ปูชนียานํ        เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ

    ฉันทลักษณ์ที่ยกเป็นตัวอย่างนี้เรียกว่า “ปัฏฐยาวัตรฉันท์” จะเห็นว่าในหนึ่งคาถาประกอบด้วย ๔ บาท (อเสวนา จ พาลานํ เป็นบาทหนึ่ง) ใจความสำคัญอยู่ที่ว่า คาถาที่หลวงตาเท่ง
พูดถึงนี้เป็นหลักคำสอนที่ต้องนำไปปฏิบัติตาม ไม่ใช่เกิดจากอำนาจของการสวด เสก เป่า จากคาถาตัวอย่างนี้มีหลักปฏิบัติ ๓ ประการ คือการไม่คบคนพาล การคบบัณฑิต และการบูชาบุคคลที่ควรบูชา ต่อให้มีคาถาของพระพุทธเจ้าเต็มหัว สวด เสก เป่าจนลมหมดไส้ หมดพุง แต่ไม่ปฏิบัติตามก็ไร้ผล

    เรื่องนี้จบลงตรงที่ว่า หลวงตาเท่งได้ให้คาถาของพระพุทธเจ้าแก่นายหมึกไป ๓ ตัว คือ “อุ ป สุ” แล้วท่านก็ขยายความให้นายหมึกฟังว่า

    อุ นี้มาจาก อุฏฐานสัมปทา หมายถึง ขยันทำมาหากิน ไม่ใช่ขี้เกียจสันหลังยาวอย่างเอ็งทุกวันนี้ (ลืมบอกไปว่าเจ้านี้มันขี้เกียจตัวเป็นขน)

    ป มาจาก ปัญญา หมายถึง ต้องใช้ปัญญาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต อย่างน้อยต้องรู้จักแยกแยะว่าอะไรผิด อะไรถูก อะไรดี อะไรไม่ดี ก็มึงเล่นกินเหล้าเมามันทั้งวัน แล้วสาวคนไหนเขาจะเอามึงไปทำผัววะ (ลืมบอกไปว่าไอ้หมึกมันกินเหล้าหัวราน้ำเลยละครับ)

    สุ มาจาก สุจิ ไม่ใช่ อสุจิ นะโว้ย หมายถึง คนที่มีเสน่ห์ต้องเป็นคนมีความสะอาดทั้ง ๓ ทาง คือทางกายต้องไม่เบียดเบียนหรือไม่ทำร้ายชีวิตใครๆ ไม่ละเมิดทรัพย์สินของใคร และไม่ไป ล่วงละเมิดทางเพศกับคู่ครองหรือคนที่ไม่ใช่สามีภรรยาของตน ทางวาจาคือต้องไม่โกหกหลอกลวงใคร ไม่พูดคำหยาบคาย ไม่พูดยุแหย่ให้ชาวบ้านเขาผิดใจ แตกคอกัน และไม่พูดเรื่องที่ไร้สาระ พูดแต่คำที่เป็นจริง คำพูดที่ไพเราะอ่อนหวาน คำพูดที่ส่งเสริมให้คนรักใคร่ กลมเกลียวกัน และคำพูดที่มีสาระประโยชน์ ทางใจคือไม่คิดโลภอยากได้ของผู้อื่น ไม่พยาบาท อาฆาตมุ่งร้ายใคร และมีความเห็นที่ถูกต้อง ก็มึงเล่นทำตัวสกปรกซ๊กม๊ก น้ำท่าไม่ยอมอาบ เมาแล้วนอนให้หมาเลียปากอย่างนี้ อย่าว่าแต่คนปกติทั่วไปเลย คนบ้ามันยังไม่เอามึงไปทำผัวเลยว่ะ มึงต้องดูแลร่างกายให้สะอาดสะอ้านสมกับเป็นผู้เป็นคนหน่อย

    หลังจากที่ได้คาถาและทราบความหมายเป็นอย่างดีแล้ว นายหมึกก็นำคาถามาท่องจนขึ้นใจและปฏิบัติตามคาถาเหล่านั้นอย่างเคร่งครัด ในที่สุดนายหมึกก็เป็นคนหนึ่งที่มีฐานะมีอันจะกิน ต่อมา ได้มีสาวคนหนึ่งชื่อน้องน้ำค้างมาตกหลุมรักไอ้หมึก ในที่สุดทั้งสองก็แต่งงานกัน ปัจจุบันมีลูก ๓ คนแล้วครับ ใครจะเอาคาถาของหลวงตาเท่งไปใช้บ้างก็เชิญนะครับ รับรองได้ผลทุกราย


บท ความที่ผมนำมาลงนี้เป็นลิขสิทธิ์ของ สำนักพิมพ์คุณา แต่หากท่านต้องการนำบทความเรื่องราวในบล๊อกของผมออกไปเผยแพร่ที่อื่นผมยินดี ครับ...เพียงแต่ขอให้ลงเครดิสให้กับอาจารย์ของผมนิด หน่อยตรงชื่อผู้เขียนว่า เขียนโดย ผศ.ธีรโชติ เกิดแก้ว จากสำนักพิมพ์คุณา ก็ขอขอบพระคุณอย่างสูงครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น